วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ร้อยไหมยกกระชับใบหน้า ขั้นตอนและความเสี่ยง

ร้อยไหม หนึ่งในเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด โดยเป็นการใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวกระชับตัว วิธีนี้มีข้อดี ข้อเสีย ขั้นตอนการทำ และความเสี่ยงอย่างไรบ้าง หากทราบรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น


การร้อยไหมคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

การร้อยไหมเป็นวิธียกกระชับผิวที่ใช้ได้ทั้งกับผิวหน้าและผิวกาย เพียงแต่นิยมใช้กับผิวหน้ามากกว่า ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังบนใบหน้าหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณแก้ม ร่องจมูก ขากรรไกร หน้าผาก โดยใช้ไหมละลายจำนวนหลายเส้นร้อยเข้าไปในใต้ผิวหนัง การทำเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวและมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าถูกดึงรั้งจนเต่งตึง ทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณดังกล่าวมากขึ้น

ไหมที่ใช้ในกระบวนการนี้มีให้เลือกหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือไหมละลาย PDO ทำจากโพลีไดออกซาโนน (Polydioxanone) ซึ่งใช้ในการเย็บแผลผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ มักไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และไม่ต้องเป็นกังวลว่าเส้นไหมเหล่านี้จะติดอยู่ใต้ผิวหนัง เพราะไหมจะค่อย ๆ สลายตัวไปเองภายใน 8 เดือน

การร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง

การดึงหน้าด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปีขึ้นไป โดยเนื้อเยื่อต้องไม่ยุบตัวหรือผิวหนังต้องไม่หย่อนคล้อยมากเกินไป เพราะหากผิวหนังหย่อนมากเนื่องจากอายุหรือมีน้ำหนักตัวมาก อาจต้องใช้วิธีนี้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
นอกจากนี้ การร้อยไหมอาจให้ผลดียิ่งขึ้นหากใช้วิธียกกระชับอื่น ๆ ร่วมด้วยในภายหลัง โดยเฉพาะวิธีที่ไม่ใช้การศัลยกรรมซึ่งจะให้ผลดีมากกว่า หรืออาจใช้กับผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดยกหน้าไปแต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดครั้งต่อไป ในกรณีนี้อาจเลือกการร้อยไหมแทนได้เช่นกัน
ไหมที่นำมาใช้มีให้เลือกหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะผิวก่อนทำ และทุกประเภทสามารถใช้ร่วมกับการยกกระชับหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การใช้ไหมที่มีเงี่ยงร่วมกับการทำฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันที่หน้า การร้อยไหมร่วมกับวิธีลดรอยเหี่ยวย่นที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุหรือเข็มขนาดเล็ก เหล่านี้อาจช่วยให้ผิวหนังกระชับตัวมากกว่าการร้อยไหมเพียงอย่างเดียว

ก่อนเข้ารับการร้อยไหม

การร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับหน้าที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ที่ต้องการใช้วิธีนี้ควรศึกษาข้อมูลสถานให้บริการที่น่าเชื่อถือและผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ขั้นตอนแรกคือการพูดคุยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับราคา ขั้นตอน ผลข้างเคียง ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงประเมินความเหมาะสมของคนไข้ต่อการร้อยไหม โดยซักถามประวัติสุขภาพและตรวจดูว่ามีโรคหรือภาวะที่ไม่แนะนำให้เข้ารับการร้อยไหมหรือไม่ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี ติดเชื้อเอชไอวี หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด มีภาวะติดเชื้อ หรือเคยเกิดแผลเป็นคีลอยด์
หากไม่มีภาวะใด ๆ ข้างต้น แพทย์จะสอบถามถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการร้อยไหมและแจ้งให้ทราบถึงผลลัพธ์ตามความเป็นจริง ข้อจำกัด ผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างละเอียด ก่อนจะให้เวลาคนไข้กลับไปตัดสินใจ หากคนไข้ยอมรับข้อจำกัดดังกล่าวได้จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา
นอกจากนี้ คนไข้จะได้รับการประเมินสภาพผิว เพื่อดูว่าควรใช้ไหมประเภทใดและจำนวนเท่าไรในการทำ รวมถึงประเภทของยาชาเฉพาะที่และปริมาณที่ต้องใช้ และมีการถ่ายภาพก่อนการรักษาเพื่อเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงหลังเข้ารับการรักษาให้เห็นด้วย
กระบวนการร้อยไหม
หลังจากขั้นตอนทาและฉีดยาชา แพทย์จะสอดเส้นไหมเข้าไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอย่างระมัดระวัง เส้นไหมจำนวนหลายเส้นที่สอดเข้าไปนี้จะนำมาซึ่งกลไกการยกกระชับผิว เนื่องจากก่อให้เกิดการอักเสบและมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาจับตัวรอบ ๆ เส้นไหม รัดรึงให้ใบหน้าเต่งตึงในที่สุด ซึ่งอาจต้องมีการประเมินระหว่างการทำอีกครั้งว่าควรร้อยไหมกี่จุด
ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าด้วยการร้อยไหม
การร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าเพียงชั่วคราว โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 1-2 ปี และอาจเริ่มกลับมาหย่อนคล้อยเล็กน้อยหลังจาก 6 เดือนแรก ทำให้อาจต้องเข้ารับการร้อยไหมอีกครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยทั่วไปใบหน้าของผู้เข้ารับการร้อยไหมอาจบวมในตอนแรก และกลับมาดูเป็นปกติภายในประมาณ 24-48 ชั่วโมง แต่บางรายอาจปรากฏรอยพับหรือรอยย่นของผิวหนังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ได้
ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม
ผลข้างเคียงจากการร้อยไหมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความรู้สึกเจ็บและไม่สบายใบหน้า นอกจากนี้ อาจมีอาการบวม ฟกช้ำ เกิดการเคลื่อนตัวของไหม และติดเชื้อจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาดหรือขั้นตอนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือบางรายอาจมีรอยย่นของผิวหนังหลังการทำ ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มักหายไปเองเมื่อผ่านไปหลายวัน แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหากเกิดการติดเชื้อ เพราะอาจเกิดเชื้อดื้อยาและยากต่อการรักษา
ทั้งนี้ ไหมแต่ละประเภทอาจมีผลข้างเคียงแตกต่างกันไป ไหมเส้นเรียบที่ไม่มีเงี่ยงหรือเกลียวอาจทำให้มีอาการฟกช้ำ ส่วนไหมที่มีเงี่ยงนั้นอาจทิ้งรอยสอดไหมไว้ให้เห็นได้ และในช่วงแรกผิวหนังของคนไข้มักมีลักษณะผิดปกติไปจากเดิมเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจหรือเป็นกังวลได้ ดังนั้น ในขั้นตอนก่อนทำจึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการใช้ไหมแต่ละชนิดอย่างละเอียด
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการร้อยไหม
การร้อยไหมเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนประมาณร้อยละ 15-20 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและแก้ไขได้ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
  • ใบหน้าไม่เท่ากัน คนไข้อาจมีใบหน้าไม่สมมาตรกันอยุู่แล้วหรือเกิดความไม่เท่ากันของใบหน้าจากการร้อยไหมได้ แพทย์จึงอาจให้ผู้ป่วยส่องกระจกไปด้วยในระหว่างทำเพื่อสังเกตความผิดปกติดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้น
  • การติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้น้อย เพราะแพทย์มักใช้กระบวนการฆ่าเชื้อก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัย
  • การอักเสบของเนื้อเยื่อ เนื่องจากไหมจะถูกร้อยลงไปที่บริเวณผิวหนังชั้นค่อนข้างลึก จึงเสี่ยงทำให้เกิดกลุ่มเนื้อเยื่อที่อักเสบขึ้นได้
  • ไหมหลุดออกมา หลังจากสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนัง แพทย์จะตัดปลายไหมส่วนเกินออก เพราะหากไหมยื่นออกมา คนไข้อาจเสี่ยงเกิดการติดเชื้อและการอักเสบของเนื้อเยื่อตามมา
  • ไหมแตกหัก เส้นไหมอาจเกิดการแตกหักในระหว่างขั้นตอนการสอดเข้าไปใต้ผิวหนังหรือขณะดึงรัดเส้นไหม
ส่วนภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ มีดังนี้
  • เส้นประสาทใบหน้าเสียหาย ซึ่งอาจทำให้เป็นอัมพาตที่ใบหน้าและหลอดเลือดได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เข็มในการร้อยไหม
  • มีอาการปวดเรื้อรัง
  • สัมผัสได้ถึงไหมที่ใบหน้า มักเกิดขึ้นจากการใช้ไหมชนิดมีเงี่ยง และหายไปได้เองหลังผ่านไปหลายวัน
  • มีเลือดออก
  • ประสาทการรับรู้บกพร่อง
  • ภาวะภูมิไวเกิน คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากกว่าปกติ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ฉีดโบท็อกซ์ แล้วหน้าแข็ง ไม่สบายหน้า หาคำตอบได้ที่นี่!


ตอบคำถามทุกคำถามเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์

ฉีดโบท็อกซ์ ปัญหาความงาม ผิวพรรณนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สาว ๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นริ้วรอยก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว โชคดีที่มีการค้นพบวิธีการเอาชนะริ้วรอยได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวเรียบตึง วิธีที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ คือ “การฉีดโบท็อกซ์ หรือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน”

มารู้จักโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) กัน 


โบฯ หรือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูจางลง ซึ่งผู้คนก็รู้จักกันมานานพอสมควร แต่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันเพื่อความงาม


ประโยชน์ของ โบท็อกซ์ 


  • ลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก หว่างคิ้ว 
  • รักษาโรคตาเหล่ ตาเข และฉีดรักษาในบริเวณรอบดวงตา
  •  รักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ 
  • ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ 
  • ฉีดลดขนาดกล้ามเนื้อ บริเวณกราม ทำให้หน้าเรียวขึ้น 
  • ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง ลดกล้ามเนื้อแขน 
  • ยกกระชับผิวหนัง 

ผลข้างเคียงการใช้ โบท็อกซ์



  • รู้สึกอึดอัด หรือ หนัก ๆ หน่วง ๆใบหน้า ไม่สบายหน้าเหมือนที่เคย 
  • การแสดงสีหน้า และอารณ์เปลี่ยนไป อาจดูผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติ 
  • โดยปกติอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเองหลัง 6 - 8 สัปดาห์ 

การฉีดโบฯ อยู่ได้นานหรือไม่? 



โดยปกติการฉีดโบฯ จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดเพื่อรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ มีการดื้อยาร่วมด้วยหรือไม่ รวมไปถึงคุณภาพของโบฯ ที่ฉีดด้วย

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

IPL นวัตกรรมแก้ไขปัญหาผิวพรรณและกำจัดขนอย่างปลอดภัย

IPL (Intensive Pulsed Light) เป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณและการ กำจัดขน โดยใช้คลื่นแสงหลากหลายความถี่ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม มีประโยชน์ทั้งในด้านการลบริ้วรอย จุดด่างดำ และกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ แต่หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าวิธีนี้ต่างจากการทำเลเซอร์อย่างไร มีวิธีการทำและข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง


การทำ IPL เป็นวิธีรักษาปัญหาผิวในลักษณะเดียวกันกับการทำเลเซอร์ โดยจะใช้แสงที่มีความถี่คลื่นแสงหลายช่วงคลื่น คล้ายกับแสงแฟลชของกล้องถ่ายภาพ ยิงไปยังผิวหนังบริเวณที่มีปัญหาหรือต้องการกำจัดขน เซลล์เม็ดสีในผิวจะดูดซึมพลังงานแสงดังกล่าวและเปลี่ยนเป็นความร้อน ส่งผลให้เม็ดสีที่เป็นสาเหตุของจุดด่างดำและริ้วรอยถูกทำลาย รวมทั้งช่วยกำจัดต่อมรากขน ป้องกันการเกิดขนบริเวณนั้น ๆ  

ทั้งนี้ คลื่นแสง IPL จะกระจายตัวมากกว่าแสงเลเซอร์ และซึมเข้าไปยังชั้นผิวหนังแท้โดยไม่ทำลายหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอก ส่งผลให้ผิวหนังถูกทำลายน้อยกว่าการทำเลเซอร์ที่ยิงแสงออกมาเพียงช่วงความถี่เดียว

IPL รักษาปัญหาผิวพรรณชนิดใดได้บ้าง

นวัตกรรม IPL ใช้รักษาได้ทั้งปัญหาผิวพรรณที่เกิดจากการทำร้ายของแสงแดด ปัญหาความผิดปกติของหลอดเลือดบนผิวหนัง และการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้
  • ปัญหาผิวพรรณจากความผิดปกติของหลอดเลือดในร่างกาย เช่น ปานแดง โรคโรซาเซียหรือสิวหน้าแดง รอยเส้นเลือดฝอยที่ขึ้นตามใบหน้าหรือขา เป็นต้น
  • ฝ้าและกระ
  • รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
  • ผิวแตกลายและรอยสิว
  • กำจัดเส้นขนที่ขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ ใบหน้า คอ หน้าอก หลัง ขา หรือขนในที่ลับ

ก่อนทำ IPL ควรเตรียมตัวอย่างไร

ผู้ที่ต้องการเข้ารับการทำ IPL ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการทำ IPL สถานความงามที่น่าเชื่อถือที่ให้บริการในด้านนี้ และการเตรียมตัวอื่น ๆ ดังนี้
  • เลือกสถานความงามที่มีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองหรือมีประสบการณ์เฉพาะทางในการทำ IPL
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับขั้นตอนการทำ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ และผลข้างเคียงจากการทำอย่างละเอียด
  • เข้ารับการตรวจสภาพผิว รวมทั้งแจ้งให้แพทย์ทราบถึงปัญหาผิวหนังอื่น ๆ ที่มี
  • ก่อนเข้ารับการทำ IPL ประมาณ 2 สัปดาห์ ควรงดทำกิจกรรมหรือการใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่อไปนี้
    • หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือการอาบแดด
    • การแวกซ์ขน
    • การเข้ารับการผลัดเซลล์ผิว
    • การฉีดคอลลาเจน
    • การใช้ยาที่ทำให้เสี่ยงมีเลือดออกผิดปกติ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เป็นต้น
    • การใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ เช่น เรตินเอ กรดไกลโคลิก เป็นต้น

การทำ IPL มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

การทำ IPL มีขั้นตอนและผลลัพธ์หลังการรักษา ดังนี้
  • ก่อนทำ IPL แพทย์จะเช็ดทำความสะอาดผิวหนังและใช้เจลเย็นหรือยาชาชนิดทาทาลงบนผิวบริเวณที่จะยิงแสง IPL ประมาณ 30-60 นาที ก่อนการทำ รวมทั้งให้ผู้ที่เข้ารับการทำ IPL สวมแว่นตาสำหรับป้องกันอันตรายจากแสง IPL
  • ระหว่างทำ IPL การทำ IPL ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดและบริเวณที่รักษา แพทย์จะวางอุปกรณ์สำหรับยิงแสง IPL ไว้บนผิวหนังบริเวณดังกล่าว ซึ่งอุปกรณ์นี้จะปล่อยพลังงานแสงออกมา ระหว่างนี้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
  • หลังทำ IPL เมื่อทำ IPL เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ารับการรักษาสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติ แต่ผิวหนังบริเวณที่ถูกยิงแสง IPL อาจมีรอยแดงและรู้สึกระคายเคืองคล้ายถูกแดดเผาประมาณ 2-3 ชั่วโมง รวมทั้งอาจยังคงมีอาการระคายเคืองและบวมเล็กน้อยในช่วงประมาณ 2 วันหลังเข้ารับการรักษา
ทั้งนี้ การรักษาปัญหาผิวหรือกำจัดขนด้วย IPL ต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ สำหรับการรักษาปัญหาผิวพรรณต้องทำซ้ำประมาณ 3-6 ครั้ง ส่วนการกำจัดขนตามร่างกายต้องทำซ้ำ 6-12 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเว้นช่วงพักฟื้นผิวหนังประมาณ 1 เดือน

ดูแลตัวเองหลังทำ IPL อย่างไร

หลังเข้ารับการทำ IPL ควรดูแลตัวเอง ดังนี้
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนทำความสะอาดผิวบริเวณที่ระคายเคืองเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ ควรทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนังให้มิดชิดเมื่อต้องออกไปข้างนอก
  • ทายาชาเฉพาะที่หากรู้สึกปวดบริเวณที่ได้รับการรักษา
  • เลี่ยงการประคบร้อนหรือการอาบน้ำอุ่นจนกว่าบริเวณดังกล่าวจะฟื้นตัวสู่สภาวะปกติ
ผลข้างเคียงจากการทำ IPL
ส่วนใหญ่แล้ว การทำ IPL จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นรอยแดงและบวมที่ผิวหนังเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปภายใน 1-2 วัน ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
  • ผิวหนังบริเวณที่ถูกแสง IPL มีสีแดงเรื่อและรู้สึกปวดเล็กน้อย
  • ผิวไหม้เล็กน้อย โดยปรากฏเป็นรอยแดง ผิวลอก และบวม ประมาณ 2-3 วันหลังรับการรักษา
  • มีตุ่มน้ำใส ๆ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก
  • บริเวณที่รักษาเกิดรอยปื้นสีคล้ำหรือซีดกว่าสีผิวปกติ
  • ขนหลุดร่วง
  • มีรอยช้ำ
  • เสี่ยงเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณดังกล่าว
ข้อดีและข้อเสียของการทำ IPL
ผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาผิวพรรณหรือกำจัดขนด้วยการทำ IPL ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้เปรียบเทียบกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ดังนี้
ข้อดี
  • เป็นวิธีรักษาปัญหาผิวพรรณและกำจัดขนที่ใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย
  • การรักษาแต่ละครั้งใช้เวลาน้อยกว่าวิธีอื่น
  • ช่วยขจัดริ้วรอย จุดด่างดำ และกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แสง IPL ไม่ทำลายผิวหนังชั้นนอก ส่งผลให้เสี่ยงได้รับผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาด้วยวิธีกรอหน้าหรือการทำเลเซอร์
  • ผิวหนังฟื้นตัวได้เร็ว
ข้อเสีย
  • การทำ IPL อาจใช้ไม่ได้ผลดีกับบริเวณผิวหนังที่ไม่สม่ำเสมอ ผู้ที่มีผิวคล้ำหรือขนสีอ่อน รวมถึงผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นชนิดนี้
  • ต้องรักษาซ้ำหลายครั้งจึงจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

8 ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจฉีดผิวขาว

สมัยนี้หันไปก็มีแต่เทรนด์เกาหลีเต็มบ้านเต็มเมือง โฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ขยันคิดก็อปปี้ “...ขาวเหมือนสาวเกาหลี” กันจริ๊งงงง นู่นนี่นั่นก็มีส่วนผสมของกลูต้าไธโอนกันเกลื่อนเมือง เกิดเป็นลัทธิบูชาความขาวกันขึ้นมา หนุ่มๆ ก็ชอบผู้หญิงขาวๆ สาวไทยผิวสีน้ำผึ้งที่ต่างก็แห่แหนหาสารพัดวิธีที่จะทำให้ตัวเองขาวขึ้น ซึ่งหลายคนก็คงคิดว่า การฉีดผิวขาว เป็นทางลัดสำหรับผู้ที่อยากมีผิวขาวแบบทันตาเห็น

แต่ช้าก่อน! อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป เราอยากลองให้คุณสาวๆ ลองชั่งน้ำหนักจากข้อมูลด้านล่างต่อไปนี้ให้ดีก่อนนะจ๊ะ ว่าการฉีดผิวขาวนั้นมันจะคุ้มค่าไหม จะได้ไม่เสียใจภายหลัง 

ประโยชน์ของกลูต้าไธโอน 

1. เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ ช่วยรักษาตับ ต้านพิษจากยาแก้ปวดพาราเซตามอลหรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 
2. ช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย 
3. ทำให้ผิวขาวขึ้นจริง แต่ไม่ใช่ฉีดปุ๊บ ขาวปั๊บ ต้องมาฉีดซ้ำหลายๆ ครั้ง และต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น


ข้อควรระวังกับการฉีดผิวขาวด้วยกลูต้าไธโอน 

1. กลูต้าไธโอนแบบฉีดที่ขายอยู่ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลอม เพราะไม่มีแหล่งผลิตที่มีอยู่จริง สังเกตได้ว่ากลูต้าไธโอนแบบฉีดหลายยี่ห้อจะมีหลายรุ่นมาก ส่วนผสมในตัวยาเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่กลูตาไธโอนจริงๆ แต่อาจจะเป็นวิตามินซีธรรมดาๆ ซึ่งราคาค่อนข้างถูก 
2. เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ฉีดนั้นเป็นหมอหรือพยาบาลที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ เท่าที่เห็นในข่าวส่วนมากที่โดนจับกันก็ไม่ได้มีวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสาขานี้ เพราะการฉีดในปริมาณที่มากเกินไปหรือโอเวอร์โดสนั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้นะ 
3. สถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ ในที่นำมาใช้ในการฉีดผิวขาว เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสะอาดปลอดเชื้อ และได้รับการฉีดแบบถูกวิธี เพราะถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาผลที่ตามมามันน่ากลัวกว่าที่คิดซะอีก 
4. ในบางโรงพยาบาลหรือคลินิกอาจจะมีการลักลอบฉีดผิวขาวด้วยกลูต้าไธโอนปลอม ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีความพยายามต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เช่น ใช้ชื่อคอร์สในการฉีดผิวขาวอื่นๆ แทนการใช้ชื่อว่าฉีดกลูต้าไธโอนโดยตรง 
5.ความสม่ำเสมอและความต่อเนื่องในการฉีดเป็นปัจจัยสำคัญของความขาว บางครั้งก็อาจเกิดความขี้เกียจเลยไม่ได้ไปฉีด เพราะฉะนั้นก็อย่าไปให้เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แถมยังเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วยนะจ๊ะ 
6. ถึงแม้ว่าการฉีดกลูต้าไธโอนจะทำให้ผิวขาวขึ้นจริง แต่มันก็ไม่จะขาวเกินไปกว่าผิวเนื้อเดิมของสาวๆ หรอกนะจ๊ะ แต่มันจะไปยับยั้งการผลิตเมลานิน ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเม็ดสีต่างหาก แถมยังต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล เพราะฉะนั้นหยุดเชื่อคำโฆษณาที่ว่าฉีดแค่เข็มเดียวก็ขาว มันไม่เป็นความจริงเลยค่ะ 
7. มีราคาค่อนที่ข้างสูง เช่น สมมติว่าค่าฉีดครั้งละ 2,000 บาท และต้องฉีดทุกๆ 3-7 วันต่อครั้ง ในหนึ่งเดือนอาจจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 8,000-20,000 บาทเลยทีเดียว และต้องฉีดติดต่อกันหลายเดือนด้วยถึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน ถ้ารายได้เราเดือนชนเดือนก็อย่าเสี่ยงเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย 
8. ตามทฤษฎีแล้วกลูต้าไธโอนจะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีจะทำให้ผิวหนังได้รับแสงแดดเพิ่มมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง และไม่ได้จำกัดแค่สีผิวเท่านั้น สีผม และสีตาดำของเราก็ต้องมีการสร้างเม็ดสีเช่นกัน ถ้าไม่อยากผมขาวก่อนวัยอันควร และเสี่ยงต่ออากการตาบอดก็คิดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจไปฉีดนะจ๊ะ 

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ข้อควรคำนึงก่อนฉีดโบทอกซ์หน้าเรียว

การฉีดโบทอกซ์ เป็นการศัลยกรรมความงามอย่างหนึ่งด้วยการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซินเข้าไป เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และทำให้ผิวหน้าเต่งตึงขึ้น เช่น โบทอกซ์ลดริ้วรอย โบทอกซ์ลดรอยตีนกา โบทอกซ์ลดกราม หรือโบทอกซ์หน้าเรียว ซึ่งการฉีดโบทอกซ์เป็นที่นิยมในคนจำนวนมาก เนื่องจากผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดดังเช่นการศัลยกรรมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม โบทอกซ์ที่ฉีดเข้าไปจะสามารถคงอยู่และมีผลต่อส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผู้ที่ต้องการมีใบหน้าได้รูปหรือผิวเต่งตึงด้วยโบทอกซ์ จึงต้องไปฉีดสารนี้ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ


โบทอกซ์คืออะไร ออกฤทธิ์อย่างไร ?

โบทอกซ์ (Botulinum Toxin: Botox) เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินัม สารจะปิดกั้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อภายใต้ผิวหนังเกิดการคลายตัว ซึ่งการหดตัวของกล้ามเนื้อจะเป็นส่วนหนึ่งของที่มาในการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่เดิมโบทอกซ์ถูกใช้เพื่อรักษาอาการหนังตากระตุก และอาการตาเหล่หรือตาขี้เกียจ และต่อมาทางการแพทย์ได้ใช้โบทอกซ์ในการรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าตามจุดต่าง ๆ ได้ด้วย ทำให้เกิดการรักษาด้วยโบทอกซ์ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในทางการศัลยกรรมเพื่อความงามดังในปัจจุบัน

ใครไม่ควรฉีดโบทอกซ์ ?

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่ป่วยด้วยโรคหรืออาการทางสมองและระบบประสาท
นอกเหนือจากนี้ ผู้ที่ต้องการฉีดโบทอกซ์ควรปรึกษาและแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ก่อน เนื่องจากบางภาวะอาการอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้หากฉีดโบทอกซ์เข้าสู่ร่างกาย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนวันนัดหมายทำการฉีดโบทอกซ์ เพื่อประสิทธิผลทางการรักษาที่ดีที่สุด

ฉีดโบทอกซ์ ทำอย่างไร ?

การฉีดโบทอกซ์ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาหรือยาระงับความรู้สึกใด ๆ เนื่องจากการฉีดจะสร้างความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด โดยผู้ป่วยต้องทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่จะทำการฉีดก่อน และแพทย์จะฉีดโบทอกซ์เข้าไปตามบริเวณที่ต้องการให้มีผลการรักษา ซึ่งโดยทั่วไปมักฉีดโบทอกซ์หลาย ๆ เข็มตามจุดต่าง ๆ ทั่วใบหน้า

หลังฉีดโบทอกซ์ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?

  • สารโบทอกซ์จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวและทำปฏิกิริยาต่อกล้ามเนื้อทั่วบริเวณที่ทำการฉีด ผู้ป่วยจึงควรนอนราบ 3-4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  • ผู้ป่วยควรหยุดรับประทานยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบอื่นประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสในการเกิดห้อเลือด
  • ผู้ป่วยต้องไม่นวดหรือถูบริเวณที่ทำการฉีด 12 ชั่วโมง ไปจนถึง 3 วันหลังการฉีด

โบทอกซ์ อยู่ได้นานแค่ไหน ?

หลังจากฉีดโบทอกซ์ ผลการรักษาจะยังไม่ปรากฏในทันทีทันใด แต่จะเริ่มเห็นผลชัดขึ้นภายใน 3-5 วัน และปรากฏผลอย่างชัดเจนสมบูรณ์ประมาณ 2 สัปดาห์หลังการฉีด และจะส่งผลทางการรักษาอย่างต่อเนื่องไปยาวนานประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อต่าง ๆ บนใบหน้าจะค่อย ๆ คลายตัวและกลับเข้าสู่สภาวะเดิมก่อนการฉีดโบทอกซ์ หากผู้ป่วยต้องการให้ผลการรักษายังคงอยู่ ก็ต้องเข้ารับการฉีดซ้ำเป็นระยะ


ร้อยไหมยกกระชับใบหน้า

ร้อยไหมยกกระชับใบหน้า ไม่ต้องพักฟื้น

ร้อยไหม หนึ่งในเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด โดยเป็นการใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวกระชับตัว วิธีนี้มีข้อดี ข้อเสีย ขั้นตอนการทำ และความเสี่ยงอย่างไรบ้าง หากทราบรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น


การร้อยไหมคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

การ ร้อยไหม เป็นวิธียกกระชับผิวที่ใช้ได้ทั้งกับผิวหน้าและผิวกาย เพียงแต่นิยมใช้กับผิวหน้ามากกว่า ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังบนใบหน้าหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณแก้ม ร่องจมูก ขากรรไกร หน้าผาก โดยใช้ไหมละลายจำนวนหลายเส้นร้อยเข้าไปในใต้ผิวหนัง การทำเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวและมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าถูกดึงรั้งจนเต่งตึง ทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณดังกล่าวมากขึ้น
ไหมที่ใช้ในกระบวนการนี้มีให้เลือกหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือไหมละลาย PDO ทำจากโพลีไดออกซาโนน (Polydioxanone) ซึ่งใช้ในการเย็บแผลผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ มักไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และไม่ต้องเป็นกังวลว่าเส้นไหมเหล่านี้จะติดอยู่ใต้ผิวหนัง เพราะไหมจะค่อย ๆ สลายตัวไปเองภายใน 8 เดือน

การร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง

การยกกระชับผิวหน้าด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปีขึ้นไป โดยเนื้อเยื่อต้องไม่ยุบตัวหรือผิวหนังต้องไม่หย่อนคล้อยมากเกินไป เพราะหากผิวหนังหย่อนมากเนื่องจากอายุหรือมีน้ำหนักตัวมาก อาจต้องใช้วิธีนี้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
นอกจากนี้ การร้อยไหมอาจให้ผลดียิ่งขึ้นหากใช้วิธียกกระชับอื่น ๆ ร่วมด้วยในภายหลัง โดยเฉพาะวิธีที่ไม่ใช้การศัลยกรรมซึ่งจะให้ผลดีมากกว่า หรืออาจใช้กับผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดยกหน้าไปแต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดครั้งต่อไป ในกรณีนี้อาจเลือกการร้อยไหมแทนได้เช่นกัน
ไหมที่นำมาใช้มีให้เลือกหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะผิวก่อนทำ และทุกประเภทสามารถใช้ร่วมกับการยกกระชับหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การใช้ไหมที่มีเงี่ยงร่วมกับการทำ ฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันที่หน้า การร้อยไหมร่วมกับวิธีลดรอยเหี่ยวย่นที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุหรือเข็มขนาดเล็ก เหล่านี้อาจช่วยให้ผิวหนังกระชับตัวมากกว่าการร้อยไหมเพียงอย่างเดียว

ก่อนเข้ารับการร้อยไหม

การร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับหน้าที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ที่ต้องการใช้วิธีนี้ควรศึกษาข้อมูลสถานให้บริการที่น่าเชื่อถือและผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ขั้นตอนแรกคือการพูดคุยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับราคา ขั้นตอน ผลข้างเคียง ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงประเมินความเหมาะสมของคนไข้ต่อการร้อยไหม โดยซักถามประวัติสุขภาพและตรวจดูว่ามีโรคหรือภาวะที่ไม่แนะนำให้เข้ารับการร้อยไหมหรือไม่ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี ติดเชื้อเอชไอวี หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด มีภาวะติดเชื้อ หรือเคยเกิดแผลเป็นคีลอยด์
หากไม่มีภาวะใด ๆ ข้างต้น แพทย์จะสอบถามถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการร้อยไหมและแจ้งให้ทราบถึงผลลัพธ์ตามความเป็นจริง ข้อจำกัด ผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างละเอียด ก่อนจะให้เวลาคนไข้กลับไปตัดสินใจ หากคนไข้ยอมรับข้อจำกัดดังกล่าวได้จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา
นอกจากนี้ คนไข้จะได้รับการประเมินสภาพผิว เพื่อดูว่าควรใช้ไหมประเภทใดและจำนวนเท่าไรในการทำ รวมถึงประเภทของยาชาเฉพาะที่และปริมาณที่ต้องใช้ และมีการถ่ายภาพก่อนการรักษาเพื่อเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงหลังเข้ารับการรักษาให้เห็นด้วย

กระบวนการร้อยไหม

หลังจากขั้นตอนทาและฉีดยาชา แพทย์จะสอดเส้นไหมเข้าไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอย่างระมัดระวัง เส้นไหมจำนวนหลายเส้นที่สอดเข้าไปนี้จะนำมาซึ่งกลไกการยกกระชับผิว เนื่องจากก่อให้เกิดการอักเสบและมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาจับตัวรอบ ๆ เส้นไหม รัดรึงให้ใบหน้าเต่งตึงในที่สุด ซึ่งอาจต้องมีการประเมินระหว่างการทำอีกครั้งว่าควรร้อยไหมกี่จุด

ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าด้วยการร้อยไหม

การร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าเพียงชั่วคราว โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 1-2 ปี และอาจเริ่มกลับมาหย่อนคล้อยเล็กน้อยหลังจาก 6 เดือนแรก ทำให้อาจต้องเข้ารับการร้อยไหมอีกครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยทั่วไปใบหน้าของผู้เข้ารับการร้อยไหมอาจบวมในตอนแรก และกลับมาดูเป็นปกติภายในประมาณ 24-48 ชั่วโมง แต่บางรายอาจปรากฏรอยพับหรือรอยย่นของผิวหนังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ได้

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Botox เนรมิตผิวเหี่ยวย่นให้ตึงกระชับ โดย JK Clinic

Botox เนรมิตผิวเหี่ยวย่นให้ตึงกระชับ



Botox อีกหนึ่งนวัตกรรมด้านความงามที่ช่วยยกกระชับใบหน้าในตอนนี้ ซึ่งสามารถช่วยลดริ้วรอยยกกระชกส่วนที่หย่อนคล้อย เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุด เป็นที่นิยมได้รับความนิยมแพร่หลาย

Botox คืออะไร

Botox คือโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ได้สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง  แบคทีเรียตัวนี้หากได้รับมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์




Botox สามารถใช้งานได้อย่างไรบ้างและเหมาะกับใคร


การฉีด Botox จะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่างๆ  ที่หน้าผาก รอยตีนกา ริ้วรอยรอบดวงตา ปาก ยกคิ้วขึ้นและตาดูโตขึ้น แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ปรับรูปหน้าให้ยกเรียว กระชับผิวหนัง รวมทั้งลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้อีกด้วย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้เป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ค่อยแสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน

ข้อดีของ Botox


Botox ทำให้หน้ายกกระชับเรียวได้รูปและเห็นผลไว อีกทั้งหากฉีดอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้การฉีด Botox ในครั้งต่อไปได้ผลยาวนาน และปริมาณการฉีดก็จะลดลงด้วยเช่นกัน